วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เอาชนะความอ้วน ด้วยวิธีธรรมชาติ

                             สำหรับผู้ที่ชอบดูแลตัวเองอยู่แล้วนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากจะเราจะควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ แต่สำหรับสาวเจ้าเนื้อทั้งหลายอาจจะฟังดูเป็นเรื่องยากจริงๆ แต่เชื่อเถอะว่าการลดน้ำหนักด้วยธรรมชาติช่วยให้คุณสวยได้จากข้างใน สู่ภายนอกเลยล่ะ สาวๆ คนไหนก็อยากที่จะมีหุ่นที่เอวบางร่างน้อยด้วยกันทั้งนั้น งั้นเราลองมาลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติกันดีกว่า เพราะนอกจากไม่มีผลเสียต่อร่างกายแล้ว คุณเองก็จะไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากการลดน้ำหนักแบบธรรมชาติด้วย สวยแบบธรรชาติย่อมดีกว่าอยู่แล้วจริงไหม
                ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่อง ดื่มเหล่านี้มีสารเอทานอลซึ่งให้พลังงาน 7 กิโลแคลอรีต่อกรัม ร่างกายจะเผาไหม้เอทานอลก่อนไขมัน จึงเอื้ออำนวยให้เกิดการสะสมไขมันภายในร่างกาย 
                ห้ามอดมื้อกินมื้อ เพราะการอดอาหารอาจเกิด อันตรายต่อสุขภาพได้ และยังทำให้การกินอาหารในมื้อถัดไปเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ 

               กินคาร์โบไฮเดรตได้ แต่อย่ากินไขมัน ไขมัน ทุกรูปแบบล้วนให้พลังงานสูง โดยให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตที่หนักเท่ากันถึงสองเท่า และที่ร้ายกว่านั้นคือ ร่างกายสามารถสร้างไขมันสะสมจากไขมันที่กินเข้าไป โดยใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่การเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันสะสมต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า แม้ว่าอาหารไทยส่วนใหญ่ไขมันต่ำ แต่เดี๋ยวนี้คนไทย ก็หันไปนิยมกินอาหารไขมันสูงเพิ่มขึ้น ส่วนอาหารฝรั่งนั้นมักมีไขมันอยู่ราวร้อยละ 30-40 ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดไขมันในอาหารให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 โดยควรกินอาหารไขมันต่ำตามธรรมชาติ หรืออาหารที่แปรรูปด้วยไขมันต่ำ และผสมน้ำตาลเพียงเล็กน้อย และกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากๆ แม้วิธีนี้ดูเหมือนจะยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วง่ายกว่าที่คิด ยิ่งเมื่อเทียบกับการต้องมานั่งคำนวณปริมาณแคลอรี ในอาหารทุกอย่างให้ได้ตามเกณฑ์ (1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน) แล้วนับว่าการลดไขมันในอาหารนั้นสะดวก และมีประสิทธิภาพมากกว่าทีเดียว 
              ออกกำลังกายให้มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และ อย่าออกกำลังกายเพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว แต่ควรฝึกให้เป็นสุขนิสัยที่ปฏิบัติต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพราะหากทำได้เราจะมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมตลอดไป สำหรับวิธีการออกกำลังกายมีสองแบบ คือ แบบแอโรบิก เช่น ว่ายน้ำ รำกระบอง วิ่ง เต้นแอโรบิก และแบบแอนแอโรบิก เช่น ยกน้ำหนัก ทั้งสอบแบบจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งจะทำให้ไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานได้ 

             งดรับประทานของหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล รับ ประทานผัก และผลไม้เป็นประจำ เพราะนอกจากให้วิตามิน และเกลือแร่แล้ว ยังให้ใยอาหาร ทำให้ท้องไม่ผูก และมีความรู้สึกอิ่ม ไม่หิวบ่อย แต่ต้องไม่รับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงท็อปเทน ผลไม้ที่ให้น้ำตาลสูง ได้แก่ อันดับหนึ่ง กล้วยไข่ อันดับสอง กล้วยน้ำว้า อันดับสาม ขนุน อันดับสี่ กล้วยหอม อันดับห้า มะม่วงน้ำดอกไม้ อันดับหก ลำไยกะโหลกเขียว อันดับเจ็ด ลองกอง อันดับแปด เงาะ อันดับเก้า ลางสาด อันดับสุดท้าย ละมุด ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักจะสำเร็จแค่ไหน ส่วนหนึ่งอยู่ที่ความตั้งใจจริง และระเบียบวินัยในการบริโภคอาหารด้วย จึงอยากแนะนำให้รับประทานแป้งที่ไม่ขัดข้าว รับประทานผัก เต้าหู้ ปลา และธัญพืชต่างๆ เหล่านั้น นอกจากจะได้สุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ยังได้รูปร่างที่สมส่วนอีกด้วย

ที่มา : 108health.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับ เสริมความฉลาดให้ลูกรัก

                        ลูกรักของคุณเข้ากับสังคมภายนอกได้มากน้อยแค่ไหน การที่เด็กสามารถเข้ากับสังคมภานอกได้ทำให้เค้าได้ปรับตัว เสริมสร้างทักษะทางสังคมให้ลูกน้อยได้ง่ายๆ นอกจากจะช่วยในเื่รื่องสุขภาพจิตที่ดีขึ้นมีไอคิวก็ต้องมีอีคิวที่สูงด้วย
                        ใครๆอยากให้ลูกน้อยของเราเป็นเด็กฉลาด น่ารักเลี้ยงๆง่าย และที่สำคัญถ้ามีสุขภาพที่ดี พร้อมกับสุขภาพจิตร่าเริง ไม่ยาก เราสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมให้ลูกได้ตั้งแต่เริ่มตื่นจนกระทั่งนอนหลับ ด้วยการเสริมเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของลูก









ยิ้มไปกับลูก : ยิ้มให้ลูกเมื่อลูกยิ้มหรือหัวเราะเวลาที่เล่นกับเขา การทำแบบนี้จะช่วยให้ลูกกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเอง และกล้าตอบสนองความรู้สึกคนอื่นด้วย

อย่าเพิ่งขัดใจ : ไม่ว่าลูกอยากทำอะไรก็อย่าเพิ่งขัดใจเขาค่ะ เพราะลูกยังต้องการการตอบสนองในทางบวกจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงวัย 6 – 11 เดือน ลูกสามารถแสดงออกถึงความพึงพอใจได้บ้างแล้ว หากเราตอบสนองความต้องการของลูก เขาก็จะมีความมั่นใจกับสิ่งที่ทำมากขึ้น

พูดคุยกับลูกเป็นประจำ : หรือชี้ชวนให้ลูกดูสิ่งรอบๆ ตัว แล้วใช้วิธีถาม – ตอบจากสิ่งที่เห็น เป็นการฝึกให้ลูกรู้จักตั้งคำถามและหาคำตอบไปพร้อมกัน ซึ่งสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ รวมทั้งบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ล้วนเป็นสังคมของลูก หากฝึกให้เขาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้จะเป็นการปูพื้นฐานทักษะทางสังคมได้ดี

ไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง : เด็กบางคนอาจติดตุ๊กตา ของเล่น หรือผ้าห่ม พ่อแม่จึงควรให้ลูกได้เล่นของเล่นที่หลากหลาย เช่น หาอุปกรณ์หรือของเล่นใหม่ๆ มาให้เขา เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

ให้เล่นกับเพื่อนที่หลากหลาย : การเล่นกับเพื่อนต่างวัย ต่างเพศ หรือต่างสถานะทางสังคม จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้การปรับตัวเข้าสังคมได้ดี

เที่ยว + เล่นนอกบ้าน : การพาลูกไปสวนสาธารณะหรือสนามเด็กเล่น จะทำให้ลูกได้ทำกิจกรรมและเล่นกับเพื่อนที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการจำลองสังคมย่อยๆ ให้ลูกได้เรียนรู้และปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ ที่เล่นกับเพื่อน

ทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง : เปิดโอกาสให้ลูกทำกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เช่น เวลาไปซื้อของก็ให้ลูกได้เลือกของเอง ได้คุยกับพ่อค้าแม่ค้า ถือของหรือรับตังค์ทอนเองบ้าง

เปิดโอกาสให้ลูกต่อรอง : หากลูกอยากได้ของเล่นแต่เราไม่อยากซื้อให้ ก่อนที่จะดุหรือตัดรอนลูกก็ลองเปลี่ยนมาให้เขาลองต่อรองกับเราว่าทำไมถึงอยากได้ โดยเฉพาะเด็กวัย 3-6 ปี จะรู้จักต่อรองเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักใช้เหตุผลและฝึกการใช้ภาษา ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม

เห็นมั้ยครับว่าเราสามารถเสริมทักษะทางสังคมให้เจ้าตัวน้อยได้ไม่ยาก แค่ให้เขามีกิจวัตรประจำวันที่ทำร่วมกับคนอื่นตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งนอนหลับ แม้จะเป็นกิจกรรมที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้ก็คือการสร้างพื้นฐานทักษะทางสังคมที่ดีให้ลูกครับ

ที่มาจาก : 108health

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ

article

                      โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการตายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาการทอด ผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ ฯลฯ แต่กินอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่มีเส้นใยน้อยเกินไป
                      ทั้งนี้รายงานการวิจัยพบว่าอาหารไทยเป็นอาหารสุขภาพ เพราะให้พลังงานและสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ ซึ่งมีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น การลดไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยที่ช่วยเพิ่มลดชาติร้อนแรง ส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดความเผ็ดของพริกก็คือ “ แคปไซซิน ” ซึ่งนอกจากจะให้ความเผ็ดร้อนแล้วยังมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ช่วยบรรเทาให้อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ เพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และที่น่าสนใจคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยที่กินพริกเป็นประจำมีอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าคนในประเทศทางตะวันตก
                     ด้วยเหตุนี้นางสาวพัชราณี ไชยทา นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาโภชนศาสตร์ (ซึ่งเป็นหลักสูตรร่วมระหว่างคณะแพทศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง “ ผลของพริกขี้หนูต่อปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” ภายใต้การดูแลของ ศ.นพ. สุรัตน์ โคมินทร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาหญิงไทยจำนวน 50 คน ที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ ระดับไขมันในเลือดสูง แต่มีสุขภาพโดยทั่วไปดี อายุระหว่าง 45 – 64 ปี และหมดประจำเดือนแล้ว แต่ไม่มีอาการของโรคเรื้อรังใดๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตโรคกระเพาะอาหาร ไม่ได้รับประทานยาเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน และไม่กินพริกมากกว่า 10 กรัมต่อวัน จากการศึกษาหญิงกลุ่มนี้พบว่าระยะการกินพริกขี้หนูมีผลดีต่อปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การลดระดับน้ำตาลกลูโคส เพิ่มอัตราเผาผลาญของร่างกาย มีแนวโน้มชะลอแรจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือดโดยมีผลภายใน 30 นาทีหลังจากาการกินพริกขี้หนูสด
                   จึงนับว่าคนไทยโชคดีแล้วที่อาหารส่วนใหญ่อุดมไปด้วยพริก...แต่ควรกินแต่พอประมาณโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระเพาะลำไส้


ข้อมูลจาก       drug2home